ฟังชัดๆจากปากญาติ! คดี 2โจ๋ กระชากสร้อย ซิ่งหนีชนสะพานตกลงมาดับ ลั่นแรง! อาจถูกจับโยนลงมา อ้าวอะไรยังไง!

loading... จากกรณีนายวีรพงษ์ เนธิบุตร อายุ 20 ปี และนายบริสุทธิ์ สุขเพีย อายุ 22 ปี ขี่รถจยย.กระชากสร้อยคอทองคำ ของผู้เสียหายเป็น...




loading...

จากกรณีนายวีรพงษ์ เนธิบุตร อายุ 20 ปี และนายบริสุทธิ์ สุขเพีย อายุ 22 ปี ขี่รถจยย.กระชากสร้อยคอทองคำ ของผู้เสียหายเป็นชายอายุประมาณ 60 ปี บริเวณหน้าตลาดร่วมมิตร ถนนวุฒากาศ ปากซอย 13 ท้องที่ สน.ตลาดพลู ก่อนหลบหนีและถูกพลเมืองไล่ติดตาม กระทั่งเสียหลักพุ่งชนขอบสะพาน บริเวณสะพานกลับรถหน้าหมู่บ้านชิชา ถนนพระราม 2 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กทม. จนร่างของทั้งคู่กระเด็นตกสะพานลงมา อาการสาหัสทั้งคู่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าวันที่ 7 ส.ค. พ.ต.ท.อดุลย์ ดอกพวง รอง ผกก.สส.สน.บางมด พร้อมด้วย พ.ต.ต.พัฐกร ปิยธิติภูวดล สว.สส. และ ร.ต.อ.อดุลย์ศิริ วงศ์ตันกาศ รอง สว.สส. นำกำลังออกตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางหลบหนีของคนร้ายตามคำให้การของ นายอภิชาติ แซ่อุ้น อายุ 57 ปี พลเมืองดี พบว่าคนร้ายใช้เส้นทางหลบหนีจากถนนวุฒากาศมุ่งหน้า ถนนจอมทอง ถนนสุขสวัสดิ์ เข้าสู่ถนนพระราม 2 ก่อนประสบอุบัติเหตุรถชนขอบสะพานจริง แต่ขัดแย้งเพียงคำให้การของพยานที่จำผิดระหว่างคนขี่กับคนซ้อนท้ายเท่านั้น

เนื่องจากภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกเป็นหลักฐานชัดเจนว่า ผู้ขับขี่คือนายบริสุทธิ์ ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาว หลังเกิดเหตุถูกส่งรักษาตัวที่ ร.พ.บางมด ส่วนคนซ้อนท้ายคือ นายวีรพงษ์ หลังเกิดเหตุถูกนำส่งรักษาตัวที่ ร.พ.บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งล่าสุด นายบริสุทธิ์ ได้เสียชีวิตแล้วเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว

พ.ต.ท.อดุลย์ กล่าวว่า คดีนี้ตำรวจยังไม่สามารถติดตามตัวผู้เสียหายได้ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้สูญเสียทรัพย์สินแต่อย่างใด จึงยังไม่ยอมเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ตลาดพลู ท้องที่ที่รับผิดชอบคดีพยายามชิงทรัพย์เพื่อให้การประกอบสำนวนคดี สำหรับในส่วนของ สน.บางมด นั้นจะติดตามตัว นายอภิชาติ พลเมืองดีเข้ามาให้การอีกครั้ง ให้สอดคล้องกับหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ส่วนคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ สน.บางมด หลังพิจารณาแล้ว นายบริสุทธิ์ ผู้ตายซึ่งเป็นผู้ขับขี่จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจร ฐานใช้รถไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เพราะนอกจากจะยืมรถผู้อื่นมาใช้แล้วยังนำแผ่นป้ายทะเบียนรถ จยย.อีกคันหนึ่งมาสลับติดอำพรางตาเจ้าหน้าที่

แต่เนื่องจาก นายบริสุทธิ์ เสียชีวิตไปแล้วจึงไม่สามารถดำเนินคดีได้ ส่วน นายวีรพงษ์ คนซ้อนท้ายนั้นยังรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู ร.พ.บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหายชายสูงอายุคนดังกล่าวไปพบพนักงานสอบสวน สน.ตลาดพลู เพื่อแจ้งข้อหาพยายามชิงทรัพย์แก่ นายวีรพงษ์ ต่อไป

ต่อมา พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า ผบก.น.8 เดินทางมาสอบปากคำ นายอภิชาติ วิน จยย.พลเมืองดี โดย พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุคดีนี้มีญาติของ นายบริสุทธิ์ ผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นผู้ขับขี่ และญาติของ นายวีรพงษ์ คนซ้อนท้ายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตั้งขอสังเกตว่าพฤติกรรมเป็นอย่างไรมีบุคคลใดจับทั้ง 2 ราย โยนลงจากสะพานกลับรถหรือไม่ เรื่องนี้จึงต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนไปจนกว่าจะได้รับความยุติธรรมทุกฝ่าย

พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ กล่าวอีกว่า เท่าที่พูดคุยกับ นายอภิชาติ ตั้งแต่หลังเกิดเหตุเมื่อวานนี้ รวมทั้งเรียกมาสอบปากคำซ้ำในวันนี้ พบว่าข้อเท็จจริงยังตรงกัน ซึ่งในฐานะพยานบุคคลอาจจะมองได้ว่าเป็นการให้ปากคำของ นายอภิชาติ เพียงคนเดียว ที่สำคัญเมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่ผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บขี่หลบหนีมานั้นยังพบว่า มีพยานบุคคลอีก 1 ราย ที่ทางพนักงานสอบสวนต้องการสอบปากคำ โดยเชื่อว่าพยานดังกล่าวน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรนอกเครื่องแบบ สวมเสื้อสีส้ม ใส่หมวกตำรวจจราจร และใช้ รถ จยย.สีขาวคล้ายกับรถที่ใช้ในราชการไล่กวดรถของคนร้ายมาด้วย ตั้งแต่ช่วงแยกดาวคะนองตัดจอมทองจนถึงถนนพระราม 2 แต่กล้องที่จับภาพได้ไม่เห็นเลขหมวกและเลขทะเบียนรถ ดังนั้นจึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ผู้บังคับบัญชาตำรวจจราจรโรงพักต่างๆ ช่วยสอบถามลูกน้องและพาเข้าพบกับพนักงานสอบสวน สน.บางมด เพื่อเล่าเหตุการณ์ด้วย

“ในส่วนความคืบหน้าของการดำเนินคดีกับ นายบริสุทธิ์ ผู้ขับขี่ที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น ทางพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาปิดบังแผ่นป้ายทะเบียนโดยใช้วัสดุอื่นบดบังเอาไว้ และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลซ้อนท้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะขณะนี้ นายวีรพงษ์ ที่มาด้วยกันยังรักษาตัวอยู่ สำหรับผู้เสียหายที่เป็นชายสูงอายุประมาณ 60 ปีนั้น ยังตามหาตัวไม่ได้ แต่ได้สั่งการให้ตำรวจจราจร สน.ตลาดพลู นำรถติดเครื่องขยายเสียงไปประชาสัมพันธ์ตามตรอกซอกซอยย่านนั้นแล้วเพื่อให้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน ด้านพฤติกรรมของ นายอภิชาติ พลเมืองดีจะรอผลการสอบสวนเสร็จสิ้นเพื่อทำประวัติส่งให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล พิจารณามอบรางวัลให้ต่อไป” พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ กล่าว

ขณะที่ นายอภิชาติ วิน จยย.พลเมืองดี กล่าวว่า ขณะประสบเหตุตนเห็นรถของผู้ต้องหา ขับขี่เข้าไปเทียบกับ รถ จยย.ของผู้เสียหาย ซึ่งมีชาย อายุประมาณ 60 ปี สวมเสื้อยืดสีขาวเป็นคนขับขี่ พาหญิงสูงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันน่าจะเป็นภรรยาซ้อนท้ายมาตามถนนวุฒากาศ จากนั้นผู้ต้องหาที่เป็นคนซ้อนท้ายได้พยายามดึงสร้อยคอทองคำของชายผู้เสียหาย โดยสร้อยนั้นถูกดึงจนขาดแต่ไม่หลุดติดมือมา เพราะสร้อยได้หล่นลงบนหน้าอกของชายผู้เสียหายทำให้สามารถคว้าสร้อยกลับคืนไปได้ จากนั้นตนก็ขี่ตามรถของผู้ต้องหามาเรื่อยๆ จนสังเกตเห็นชายพลเมืองดีอีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นตำรวจจราจรนอกเครื่องแบบขี่ รถ จยย.ผ่านมากลางทาง ตนจึงได้แจ้งให้ขับตามรถผู้ต้องหามาด้วยกัน กระทั่งผู้ต้องหาทั้ง 2 รายประสบอุบัติเหตุเฉี่ยวกับขอบสะพาน ชายคนนั้นก็หายจากจุดเกิดเหตุไป

“ตนทำความดีครั้งนี้ทำด้วยความสุจริตใจอยากช่วยเหลือสังคมเพราะตนก็เป็นอาสาสมัครแจ้งข่าวของ สน.บางขุนเทียน และเพิ่งไปลงชื่อเป็นพลเรือนจิตอาสา รับผ้าพันคอกับหมวกแก๊ปพระราชทานมาหมาดๆ ในช่วงที่เห็นผู้ต้องหาก่อเหตุกับเหยื่อ ตนหวังเพียงว่าจะขี่รถตามไปเพื่อบอกตำรวจในเครื่องแบบที่อาจเจอระหว่างทางเข้าทำการจับกุมทั้ง 2 ราย ก็เท่านั้น แต่ในภายหลังกลับมีเพื่อนๆ วิน จยย.บอกข้อมูลว่า มีญาติผู้ต้องหากล่าวหาว่าตนจับทั้ง 2 รายโยนลงมาจากสะพานกลับรถ ซึ่งตนรู้สึกน้อยใจ อยากให้ผู้เสียหายตัวจริงและตำรวจนอกเครื่องแบบที่ขับรถไล่กวดอยู่ด้วยกันมาพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้การตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วยเพราะตอนนี้ตนรู้สึกไม่สบายใจ” นายอภิชาติ กล่าว

Cr:http://www.siamvariety.com/view-21344.html

loading...

You Might Also Like

0 comments